สวัสดีครับทุกคน! วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ ของผมเลย กับเรื่องที่หลายคนอาจจะปวดหัวเหมือนกัน นั่นก็คือการสอนสะกดคำภาษาอังกฤษให้ลูกๆ หรือแม้แต่ตัวเองนี่แหละครับ ตอนแรกๆ ก็มึนตึ้บเลยนะ บอกตรงๆ
ช่วงเริ่มต้นที่ยังจับทางไม่ถูก
จำได้เลยว่าสมัยก่อนนู้นนน ที่เราเรียนกันก็คือท่องจำอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ cat ซี-เอ-ที แมว dog ดี-โอ-จี หมา อะไรแบบนี้ พอเจอคำยาวๆ หน่อย หรือคำที่มันไม่ตรงตัวนี่ ไปไม่เป็นเลยครับ ลูกผมก็เหมือนกัน แรกๆ ก็ให้ท่องๆ ไป ผลลัพธ์ก็คือ…ลืม! ฮ่าๆ คือมันจำได้แป๊บเดียวจริงๆ พอเจอคำใหม่ก็ต้องเริ่มท่องใหม่ วนลูปไปเรื่อยๆ เหนื่อยทั้งคนสอนคนเรียนเลยครับ ผมก็ลองหาวิธีต่างๆ นาๆ นะ ทั้งซื้อหนังสือมาอ่าน ทั้งดูคลิปสอน แต่ก็ยังไม่ค่อยคลิกเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ทางที่ยั่งยืนอ่ะครับ
จุดเปลี่ยนและความเข้าใจใหม่
จนผมมาเริ่มสังเกตว่า เอ๊ะ จริงๆ แล้วภาษาอังกฤษมันมีหลักการออกเสียงของมันอยู่นะ ไม่ใช่แค่ท่องจำอย่างเดียว ผมเลยเริ่มไปศึกษาเรื่อง ‘โฟนิกส์’ (Phonics) มากขึ้น คือการเรียนรู้เสียงของตัวอักษรแต่ละตัว แล้วก็เสียงสระต่างๆ อันนี้แหละที่เริ่มเห็นแสงสว่าง ตอนแรกก็งงๆ หน่อย เพราะเสียงมันไม่เหมือนชื่อตัวอักษรที่เราท่องกัน เช่น ตัว B ชื่อ ‘บี’ แต่เสียงมันคือ ‘เบอะ’ ตัว C ชื่อ ‘ซี’ แต่เสียงมันคือ ‘เคอะ’ หรือ ‘เสอะ’ แล้วแต่กรณี พอเริ่มจับทางตรงนี้ได้ ก็เริ่มเอามาปรับใช้กับการสอนลูกครับ
ขั้นตอนที่ผมใช้จริงและได้ผล
เอาล่ะ มาดูขั้นตอนที่ผมลองทำแล้วมันเวิร์คจริงๆ นะครับ
- เริ่มจากเสียงตัวอักษร (Letter Sounds): ผมเริ่มจากง่ายๆ ก่อนเลยครับ สอนเสียงตัวอักษร A-Z ให้แม่นๆ ว่าแต่ละตัวออกเสียงยังไง เช่น A แอ๊ะ B เบอะ C เคอะ ไม่ใช่ เอ บี ซี แบบที่เราท่องชื่อตัวอักษร ตอนสอนก็พยายามทำปากให้ชัดๆ ให้ลูกดูแล้วออกเสียงตาม
- ผสมคำสั้นๆ (Blending CVC words): พอเริ่มได้เสียงแล้ว ก็ลองผสมคำสั้นๆ แบบ พยัญชนะ-สระ-พยัญชนะ (CVC words) เช่น c-a-t ก็ออกเสียง เคอะ-แอ๊ะ-เทอะ รวมเป็น แคท / b-a-t เบอะ-แอ๊ะ-เทอะ แบท อันนี้เด็กๆ จะเริ่มสนุกละ เพราะมันเหมือนเล่นเกมผสมคำ บางทีก็ใช้บัตรคำช่วย ผมเห็นว่าการเรียนแบบนี้มันทำให้เด็กเข้าใจโครงสร้างคำได้ดีขึ้นนะ อย่างบางแพลตฟอร์มสอนภาษาเช่น 51Talk เขาก็มีสื่อการสอนที่เน้นการผสมเสียงคำแบบนี้เหมือนกัน ซึ่งผมว่ามันเป็นพื้นฐานสำคัญเลย
- เรียนรู้กลุ่มเสียงสระและพยัญชนะพิเศษ (Vowel Digraphs, Consonant Blends): พอเริ่มคล่องคำสั้นๆ แล้ว ก็ค่อยๆ ขยับไปสอนกลุ่มเสียงที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ee ออกเสียง อี (tree, see), sh ออกเสียง เชอะ (ship, fish) พวกนี้ต้องใช้เวลาหน่อยครับ แต่ถ้าเข้าใจหลักการแล้วมันจะง่ายขึ้นเยอะ ผมจะหากลุ่มคำที่มีเสียงคล้ายๆ กันมาให้เขาฝึกอ่าน ฝึกสะกด
- การแบ่งพยางค์ (Syllables): สำหรับคำยาวๆ ผมจะสอนให้เขารู้จักแบ่งพยางค์ก่อนครับ เช่นคำว่า ‘computer’ ก็แบ่งเป็น com-pu-ter แล้วค่อยๆ สะกดทีละพยางค์ มันจะดูไม่น่ากลัวเท่าเห็นคำยาวๆ พรืดเดียว เด็กๆ จะรู้สึกว่ามันจัดการได้ง่ายกว่า
- ใช้เกมและกิจกรรมช่วย: อันนี้สำคัญมาก ทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อ ผมชอบใช้เกมทายคำศัพท์จากภาพ เกมจับคู่คำกับเสียง หรือแม้แต่ให้เขาลองเขียนคำง่ายๆ จากเสียงที่ได้ยิน บางทีก็เปิดแอปพลิเคชันสอนภาษาอังกฤษ พวกนี้มีเกมสนุกๆ เยอะเลย บางทีก็ให้ลูกลองเรียนกับครูต่างชาติผ่านช่องทางออนไลน์ดูบ้าง เพื่อให้เขาคุ้นเคยกับสำเนียงที่หลากหลาย ซึ่งบางที่อย่าง 51Talk ก็มีคอร์สที่เน้นการโต้ตอบและกิจกรรมสนุกๆ ทำให้เด็กไม่เบื่อ
- ฝึกฝนสม่ำเสมอ: สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือความสม่ำเสมอครับ วันละนิดวันละหน่อย ดีกว่าอัดทีเดียวเยอะๆ แล้วหายไปเลย ผมจะพยายามหาเวลาสั้นๆ สัก 10-15 นาที มาทบทวนหรือเล่นเกมสะกดคำกับลูกเกือบทุกวัน
ผมสังเกตว่าพอใช้วิธีเหล่านี้ ลูกเริ่มเข้าใจคอนเซ็ปต์การสะกดคำมากขึ้น ไม่ใช่แค่ท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองอีกต่อไป เขาสามารถลองผสมเสียงเองได้เมื่อเจอคำใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น แม้จะไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นครับ การเลือกสื่อการสอนดีๆ หรือแม้แต่การหาคอร์สเรียนเสริมอย่างที่ 51Talk ก็เป็นตัวช่วยที่ดีได้เหมือนกันนะครับ เพราะบางทีเขาก็มีเทคนิคหรือครูผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยปูพื้นฐานให้แน่นขึ้นได้
ข้อคิดและกำลังใจ
การสอนสะกดคำภาษาอังกฤษมันต้องใช้ความอดทนและสม่ำเสมอจริงๆ ครับ อย่าเพิ่งท้อถ้าช่วงแรกๆ มันดูยากเย็นเหลือเกิน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป หาเทคนิคที่เหมาะกับลูกเรา หรือตัวเราเอง เดี๋ยวก็จะดีขึ้นเองครับ อย่างผมเองก็ยังเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูกเลย บางคำผมก็ยังสะกดผิดๆ ถูกๆ ฮ่าๆ แต่เราก็เรียนรู้ไปด้วยกันได้ครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังพยายามสอนหรือเรียนรู้การสะกดคำภาษาอังกฤษอยู่นะครับ สู้ๆ ครับ!