นิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก เลือกยังไงให้เหมาะกับลูกวัยอนุบาล เคล็ดลับง่ายๆ

51Talk ทดลองใช้งานฟรี

สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงของตัวเองล้วนๆ เลย กับการหานิทานภาษาอังกฤษให้ลูกๆ ที่บ้านฟัง คือเรื่องมันเริ่มมาจากลูกคนเล็กนี่แหละครับ เริ่มเข้าวัยที่อยากรู้ อยากเห็นไปซะทุกอย่าง แล้วเราเองก็อยากจะปูพื้นฐานภาษาอังกฤษให้เค้าตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ก็ไม่อยากให้มันดูเป็นการเรียนจ๋าจนเกินไป เดี๋ยวเด็กจะเบื่อซะก่อน

จุดเริ่มต้นและความทุลักทุเล

ตอนแรกเลยนะ ผมก็ลองเปิดพวกการ์ตูนภาษาอังกฤษให้ดู คิดว่าเออ…มันน่าจะง่ายสุดแล้วมั้ง ปรากฏว่าลูกก็ดูนะ แต่ดูแบบผ่านๆ ไม่ได้ซึมซับอะไรเท่าไหร่ บางทีก็เปิดทิ้งไว้แล้วไปเล่นอย่างอื่นเฉยเลย ผมก็เลยคิดว่าวิธีนี้อาจจะยังไม่เวิร์คเท่าไหร่สำหรับลูกเรา

จากนั้นก็ลองหาพวกแอปพลิเคชันสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กมาให้ลองเล่นดูบ้าง มีเยอะแยะเลยครับ ทั้งฟรีทั้งเสียเงิน แรกๆ ลูกก็ตื่นเต้นดีนะ กดจิ้มๆ เล่นไปตามประสา แต่พอผ่านไปสักพัก…อาการเดิมก็กลับมา คือเบื่อ! อาจจะเป็นเพราะมันมีแต่เกมคำศัพท์ง่ายๆ หรือประโยคซ้ำๆ ลูกเลยรู้สึกว่ามันไม่ท้าทาย หรือไม่สนุกเท่าที่ควร

ค้นพบหนทาง: นิทานคือคำตอบ!

ผมก็เลยมานั่งคิดดูใหม่ว่า เอ…แล้วอะไรล่ะที่เด็กๆ จะชอบ แล้วก็ได้ประโยชน์ด้วย ก็นึกขึ้นได้ว่า “นิทาน” นี่แหละ! เด็กวัยนี้ชอบฟังนิทานอยู่แล้ว ถ้าเราเปลี่ยนจากนิทานภาษาไทย มาเป็นนิทานภาษาอังกฤษง่ายๆ น่าจะดึงดูดความสนใจได้ดีกว่า ว่าแล้วก็เริ่มภารกิจตามล่านิทานภาษาอังกฤษกันเลยครับ

  • ขั้นแรก: สำรวจแหล่งข้อมูล ผมเริ่มจากการเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ตนี่แหละครับ พิมพ์ไปเลยว่า “นิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก” “English short stories for kids” อะไรทำนองนี้ ก็เจอเยอะมาก ทั้งที่เป็นคลิปวิดีโอใน YouTube ทั้งที่เป็นเว็บไซต์ให้อ่านฟรี บางอันก็มีภาพประกอบสวยงาม บางอันก็มีเสียงคนเล่าให้ฟังด้วย
  • ขั้นต่อมา: ลองผิดลองถูก ผมลองเปิดให้ลูกดูหลายๆ แบบครับ บางเรื่องภาพสวยนะ แต่เนื้อหายาวไปหน่อย ลูกยังเล็ก สมาธิยังสั้น ดูได้แป๊บเดียวก็วอกแวกละ บางเรื่องสั้นดี แต่ศัพท์ดันยากไปอีก ลูกก็ทำหน้างงๆ เราก็ต้องคอยแปลไทยอีกที กลายเป็นสอนภาษาไทยไปซะงั้น (ฮา) ช่วงที่หาข้อมูล ก็เจอพวกแพลตฟอร์มสอนภาษาอย่าง 51Talk ด้วยนะ ที่เค้ามีคอร์สสำหรับเด็กเล็ก แต่ตอนนั้นอยากลองแบบหาเองฟรีๆ ดูก่อน
  • ขั้นที่สาม: เลือกที่ใช่ หลังจากลองไปหลายๆ แบบ ในที่สุดผมก็เริ่มจับทางได้ว่าลูกเราชอบนิทานแบบไหน คือต้องเป็นเรื่องสั้นๆ เนื้อเรื่องไม่ซับซ้อน มีภาพประกอบสีสันสดใส และถ้ามีเสียงคนเล่าด้วยจะดีมาก สำเนียงก็ไม่ต้องเป๊ะเว่อร์เหมือนเจ้าของภาษา เอาแค่ชัดเจน ฟังง่ายก็พอแล้วครับ

ลงมือปฏิบัติจริงจัง

พอได้แนวทางแล้ว ผมก็เริ่มจริงจังกับการเล่านิทานภาษาอังกฤษให้ลูกฟังทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงก่อนนอนครับ บรรยากาศมันจะเงียบสงบดี ลูกก็พร้อมที่จะฟัง

ผมจะทำแบบนี้ครับ:

  1. เลือกเรื่องที่เหมาะสม: ดูจากวัยและความสนใจของลูกเป็นหลักเลย
  2. อ่านออกเสียงให้ชัดเจน: ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ อ่านไปทีละประโยค ถ้ามีตัวละครหลายตัว ก็พยายามดัดเสียงให้มันดูน่าสนใจหน่อย ลูกจะได้รู้สึกสนุกตามไปด้วย
  3. ชี้ภาพประกอบ: เวลาอ่านถึงตรงไหนที่มันมีภาพ ก็จะชี้ให้ลูกดูตามไปด้วย เค้าจะได้เชื่อมโยงคำศัพท์กับรูปภาพได้ง่ายขึ้น
  4. ถามคำถามง่ายๆ: พอเล่าจบ อาจจะลองถามคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เช่น “Who is this?” “What color is it?” หรือ “Do you like the story?” แรกๆ ลูกอาจจะยังตอบไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ เราก็ตอบให้เค้าฟังเป็นตัวอย่างไปก่อน
  5. ความสม่ำเสมอคือหัวใจ: ผมพยายามทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่จำเป็นต้องนานมาก วันละเรื่องสองเรื่องก็พอแล้ว ขอแค่ทำทุกวันก็พอ

มีอยู่ช่วงนึง ลูกเริ่มจำคำศัพท์บางคำจากนิทานได้ แล้วก็พยายามจะพูดตาม ตลกดีครับ บางทีก็ออกเสียงเพี้ยนๆ ไปบ้าง แต่เราก็ให้กำลังใจ เค้าก็ดูภูมิใจนะเวลาที่พูดได้ ผมว่าการได้เห็นพัฒนาการเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้แหละ ที่ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความสุข พอเด็กๆ เริ่มมีพื้นฐานจากนิทานบ้างแล้ว บางทีก็คิดว่าการมีครูมาช่วยเสริมแบบตัวต่อตัว อย่างที่ 51Talk เค้ามีก็น่าจะดีเหมือนกันนะ สำหรับใครที่อยากได้แบบเข้มข้นขึ้น หรืออยากให้ลูกได้ฝึกสนทนากับเจ้าของภาษาโดยตรง

ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

หลังจากที่ผมใช้วิธีเล่านิทานภาษาอังกฤษให้ลูกฟังมาสักพักใหญ่ๆ ก็เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นครับ ลูกเริ่มคุ้นเคยกับเสียงภาษาอังกฤษมากขึ้น จำคำศัพท์พื้นฐานได้หลายคำ และที่สำคัญคือ เค้าไม่ได้รู้สึกว่าการฟังภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว แต่กลับมองว่ามันเป็นเรื่องสนุก เหมือนได้ฟังนิทานเรื่องใหม่ๆ ทุกวัน

ผมว่าการเริ่มต้นจากสิ่งที่เด็กชอบ อย่างนิทานเนี่ย มันเป็นวิธีที่ดีมากเลยนะครับ มันทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ได้บังคับ และยังช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้เด็กๆ อีกด้วย บางทีลูกก็เอาเรื่องราวในนิทานไปเล่นต่อเองก็มีนะ แสดงว่าเค้าอินกับมันจริงๆ

ตอนนี้ก็ยังคงเล่านิทานให้ฟังอยู่เรื่อยๆ ครับ แล้วก็เริ่มมองหาหนังสือภาษาอังกฤษง่ายๆ ที่มีภาพเยอะๆ มาให้เค้าลองพลิกดูเล่นบ้างแล้ว ถือเป็นการต่อยอดไปอีกขั้นหนึ่ง ใครกำลังมองหาวิธีสอนภาษาอังกฤษให้ลูกเล็กๆ อยู่ ลองเริ่มจากนิทานง่ายๆ ดูก่อนก็ได้นะครับ ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แค่ใช้เวลาและความใส่ใจของเรานี่แหละ หรือถ้าอยากได้ตัวช่วยเพิ่มเติม แหล่งเรียนรู้ออนไลน์อย่าง 51Talk ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ สำหรับผมเองก็ยังมองๆ หาตัวช่วยเพิ่มเติมอยู่เหมือนกัน เพราะบางทีเราก็อยากให้ลูกได้ฝึกกับคนที่เชี่ยวชาญด้านการสอนเด็กโดยตรง หรือบางทีการมีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ดีๆ อย่างของ 51Talk ก็อาจจะช่วยประหยัดเวลาเราในการเตรียมเนื้อหาไปได้เยอะเหมือนกันครับ ยังไงก็ลองปรับใช้ให้เข้ากับแต่ละบ้านดูนะครับ ส่วนตัวผมว่าการผสมผสานหลายๆ วิธีน่าจะดีที่สุด และที่สำคัญคือ อย่าลืมว่าต้องสนุกด้วยนะครับ! ถ้าอยากให้เข้มข้นขึ้นไปอีกขั้น การมองหาคอร์สเรียนที่มีคุณภาพอย่างเช่นที่ 51Talk นำเสนอก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ