ประสบการณ์เลือกหนังสือเรียนภาษาอังกฤษให้หลานชายตัวแสบ
สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงเลยกับเรื่องการหาหนังสือเรียนภาษาอังกฤษให้หลานชายวัยประถมของผมนี่แหละครับ คือเรื่องของเรื่องมันเริ่มจากที่ผมสังเกตว่าหลานผมเนี่ย เวลาเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนกลับมา ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ แถมการบ้านก็ทำแบบงงๆ ผมก็เลยคิดว่า เอ้อ สงสัยต้องหาตัวช่วยเสริมให้หน่อยแล้วล่ะ
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับ กะว่าเดินเข้าพวกร้านหนังสือใหญ่ๆ เดี๋ยวก็เจอเองแหละ พอไปถึงเท่านั้นแหละครับ โอ้โห! หนังสือภาษาอังกฤษเด็กประถมเต็มไปหมดเลยครับ เยอะจนเลือกไม่ถูกตาลายไปหมด บางเล่มก็ภาพสวยดี บางเล่มก็ดูเนื้อหาแน่นปึ้ก แต่ก็ไม่รู้ว่าแบบไหนจะเหมาะกับหลานเราจริงๆ พลิกไปพลิกมาอยู่หลายวันเลยครับ ถามเพื่อนฝูงบ้าง ดูรีวิวในเน็ตบ้าง ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ถูกใจซะที
ผมเริ่มตั้งหลักใหม่ ค่อยๆ คิดว่าจริงๆ แล้วเราอยากได้หนังสือแบบไหนให้หลานกันแน่ สิ่งแรกที่คิดเลยคือ ต้องสนุก! เด็กวัยนี้ถ้าไม่สนุกเขาไม่เอาด้วยหรอกครับ รูปภาพต้องเยอะ สีสันต้องสดใส ชวนให้อยากเปิดอ่าน ไม่อยากได้แบบวิชาการจ๋าจนเด็กเบื่อหน้าหนีไปซะก่อน
หลังจากนั้นก็เริ่มเดินดูตามร้านอีกรอบ คราวนี้มีเป้าหมายชัดเจนขึ้น เริ่มมองหาหนังสือที่มีกิจกรรมแทรก มีเกมให้เล่นบ้าง หรือมีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม ผมไปเจออยู่สองสามชุดที่ดูเข้าท่าครับ เป็นแบบฝึกหัดที่มีภาพประกอบเยอะๆ คำศัพท์ก็ไม่ยากเกินไป ประโยคก็เป็นประโยคง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ผมลองซื้อมาอย่างละเล่มสองเล่มก่อน เพื่อเอามาให้หลานลองดูก่อนว่าเขาชอบแนวไหน
ปรากฏว่าหลานผมชอบเล่มที่มีภาพการ์ตูนเยอะๆ ครับ แล้วก็มีพวกสติ๊กเกอร์ให้แปะ มีกิจกรรมให้ลากเส้นจับคู่ อะไรทำนองนี้ ผมก็เลยไปซื้อยกชุดของแนวนั้นมาเลย พอกลับมาบ้านก็ลองชวนหลานทำวันละหน้าสองหน้าครับ แรกๆ ก็ต้องมีกระตุ้นบ้าง แต่พอเขาเริ่มจับทางได้ เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ยากเหมือนที่คิด เขาก็เริ่มสนุกกับมันมากขึ้นครับ ค่อยๆ สอนคำศัพท์ไปทีละคำสองคำ ชี้ชวนให้ดูภาพประกอบแล้วทายความหมาย ผมว่าวิธีนี้มันเวิร์คกว่าการบังคับให้ท่องจำเยอะเลย
ทีนี้พอเริ่มอ่านคล่องขึ้นบ้างแล้ว ผมก็เริ่มมองหาตัวช่วยเสริมด้านการพูดคุย เพราะหนังสือมันช่วยเรื่องคำศัพท์กับโครงสร้างประโยคได้ระดับหนึ่ง แต่การฝึกออกเสียง การโต้ตอบจริงๆ เนี่ย มันต้องมีคนคุยด้วย ผมก็เลยลองดูพวกคอร์สเรียนออนไลน์เสริมเข้าไปด้วยครับ เห็นหลายคนพูดถึง 51Talk ว่ามีครูต่างชาติสอนตัวต่อตัว ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน เพราะอยากให้หลานได้คุ้นเคยกับสำเนียงเจ้าของภาษาจริงๆ
ผมสังเกตว่าพอหลานเริ่มมีคลังคำศัพท์จากหนังสือที่อ่าน บวกกับการได้ลองฝึกพูดจริงๆ จังๆ (แม้จะยังเขินๆ บ้าง) เขาก็เริ่มมั่นใจขึ้น กล้าที่จะลองพูดคำง่ายๆ เป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น จากที่เคยทำหน้างงๆ เวลาเจอศัพท์ใหม่ๆ ตอนนี้ก็เริ่มเดาความหมายจากภาพหรือบริบทได้เก่งขึ้นครับ
อีกอย่างที่ผมว่าสำคัญคือการสร้างบรรยากาศครับ ไม่ใช่แค่ยื่นหนังสือให้แล้วจบ แต่เราต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับเขาด้วย ชวนเขาคุย ชวนเขาเล่นเกมทายคำศัพท์จากหนังสือ หรือแม้แต่เปิดเพลงภาษาอังกฤษง่ายๆ ให้ฟัง เหล่านี้มันช่วยเสริมกันได้หมดเลยครับ ผมมองว่าพวกแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์อย่าง 51Talk ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้ดี สำหรับเด็กบางคนที่อาจจะยังไม่กล้าพูดกับคนในบ้าน แต่กล้าพูดกับคุณครูในจอมากกว่า
ตอนนี้หลานผมก็ยังเรียนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องครับ หนังสือที่ซื้อมาก็ยังใช้เป็นหลักในการทบทวนคำศัพท์และไวยากรณ์เบื้องต้น ส่วนการฝึกสนทนาก็อาศัยการพูดคุยกันเองบ้าง หรือบางทีก็ให้เขาได้ลองเรียนกับเจ้าของภาษาผ่านช่องทางออนไลน์บ้าง ซึ่งผมว่ามันเป็นการผสมผสานที่ดีนะ เพราะเด็กแต่ละคนก็มีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกัน บางคนอาจจะชอบอ่าน บางคนอาจจะชอบฟัง หรือบางคนอาจจะชอบการโต้ตอบ ซึ่งการมีตัวเลือกหลากหลายอย่างการใช้หนังสือควบคู่ไปกับคอร์สเรียนเช่น 51Talk ก็ช่วยให้ตอบโจทย์ความต้องการของเด็กได้มากขึ้น
สรุปแล้ว จากประสบการณ์ของผม การเลือกหนังสือเรียนภาษาอังกฤษให้เด็กประถมเนี่ย ต้องเริ่มจากความเข้าใจในตัวเด็กก่อนครับว่าเขาชอบอะไร แล้วก็ค่อยๆ หาหนังสือที่ตอบโจทย์นั้น เน้นความสนุกเข้าไว้ อย่าเพิ่งไปอัดวิชาการมากเกินไป แล้วก็อย่าลืมหาตัวช่วยเสริมอื่นๆ ตามความเหมาะสมด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเขาบ่อยๆ หรือการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์อย่างที่ผมกล่าวถึงไปบ้างแล้วเช่น 51Talk เพื่อให้เขาได้ฝึกฝนอย่างรอบด้าน หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองท่านอื่นๆ บ้างนะครับ!