สวัสดีครับทุกคน วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ เลยครับ เรื่องการหาที่เรียนภาษาอังกฤษให้ลูกเนี่ย บอกเลยว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนแรกก็คิดว่าหมูๆ นะ แต่พอลงมือหาข้อมูลจริงๆ โอ้โห…ตัวเลือกมันเยอะจนตาลายไปหมดเลยครับ
จุดเริ่มต้นของการเดินทางตามหาสถาบันสอนภาษา
ลูกผมก็เริ่มโตแล้วครับ อยากให้เค้าได้ภาษาอังกฤษติดตัวไว้บ้าง อย่างน้อยก็พอสื่อสารได้ ไม่กลัวฝรั่ง เวลาไปเที่ยวต่างประเทศจะได้ไม่อายใคร (ฮ่าๆ) ก็เลยเริ่มภารกิจตามล่าหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กกันเลยครับ
ตอนแรกก็มึนตึ้บเลยครับ สถาบันเยอะแยะไปหมด ทั้งแบบมีชื่อเสียงโด่งดัง แบบเปิดใหม่ใกล้บ้าน โฆษณาก็ดูดีไปซะทุกที่ ผมก็เริ่มจากถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มีลูกเหมือนกันว่าเค้าส่งลูกเรียนที่ไหนกันบ้าง ก็ได้ชื่อมาหลายที่เลยครับ ทั้งแบบสอนสดที่สถาบัน ทั้งแบบเรียนออนไลน์
ลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูล
ผมกับภรรยาก็เลยตกลงกันว่า เราจะลองไปดูสถานที่จริงกันบ้างบางที่ที่เดินทางสะดวก แล้วก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมทางอินเทอร์เน็ตควบคู่กันไป สิ่งที่เราพิจารณาก็มีหลายอย่างเลยครับ:
- หลักสูตรการสอน: เน้นอะไรบ้าง? เน้นแกรมม่า เน้นพูดคุย หรือเน้นกิจกรรม? ลูกเราน่าจะชอบแบบไหน?
- คุณครูผู้สอน: เป็นครูไทย หรือครูต่างชาติเจ้าของภาษา? มีประสบการณ์สอนเด็กเล็กไหม?
- บรรยากาศในห้องเรียน: ดูน่าเรียนไหม? อุปกรณ์การสอนพร้อมหรือเปล่า?
- จำนวนนักเรียนต่อห้อง: เยอะไปไหม? กลัวครูดูแลไม่ทั่วถึง
- ค่าใช้จ่าย: อันนี้ก็สำคัญครับ ต้องดูงบประมาณของเราด้วย
- การเดินทาง: สะดวกไหม? รถติดหรือเปล่า?
เหนื่อยครับ บอกตรงๆ วิ่งดูหลายที่มากกก บางที่หลักสูตรดีมาก แต่ไกลบ้านเหลือเกิน บางที่ใกล้บ้าน แต่ดูแล้วลูกเราไม่น่าจะชอบสไตล์การสอน บางที่ค่าเรียนก็แพงหูฉี่ไปหน่อย
ระหว่างที่หาข้อมูล ผมก็เจอพวกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์สำหรับเด็กด้วยนะครับ อย่างเช่น พวกที่โฆษณาว่าเรียนกับครูต่างชาติแบบตัวต่อตัวผ่านวิดีโอคอล ผมก็เอ๊ะ…น่าสนใจดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ลูกเรียนจากที่บ้านได้เลย ก็เลยลองศึกษาดูบ้าง อย่างบางแพลตฟอร์มเช่น 51Talk ก็มีตัวเลือกครูจากหลายประเทศให้เลือก ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ที่ไม่ค่อยมีเวลา
การลองผิดลองถูก และการตัดสินใจ
หลังจากดูข้อมูลมาเยอะมาก ทั้งจากสถาบันจริงๆ และจากข้อมูลออนไลน์ ผมก็เริ่มจับทางได้ว่าจริงๆ แล้วลูกเราน่าจะเหมาะกับสไตล์ไหน ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความสุขของลูก” ครับ ถ้าเค้าเรียนแล้วไม่มีความสุข ต่อให้สถาบันดีแค่ไหน ดังแค่ไหน มันก็คงไม่เวิร์ค
ผมลองให้ลูกไปทดลองเรียนดูบ้างบางที่ครับ ทั้งแบบกลุ่มเล็กๆ ที่สถาบันใกล้บ้าน และลองดูพวกคลาสทดลองเรียนออนไลน์สั้นๆ ด้วย ก็สังเกตดูปฏิกิริยาของเค้าว่าเค้าสนุกกับแบบไหนมากกว่ากัน บางทีเราอาจจะต้องมองหาตัวเลือกที่ยืดหยุ่น อย่างการเรียนออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งบางเจ้าอย่าง 51Talk ก็มีคอร์สที่หลากหลายและเลือกเวลาเรียนได้ค่อนข้างอิสระ
ผมเองก็ยังอยู่ในช่วงสังเกตการณ์ลูกอยู่ครับว่าเค้าแฮปปี้กับแบบไหนที่สุด ตอนนี้ก็ลองให้เรียนผสมๆ กันไป มีไปสถาบันบ้าง เรียนออนไลน์กับครูต่างชาติบ้าง ซึ่งตัวเลือกอย่าง 51Talk ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สะดวกดีเรื่องเวลาและครูผู้สอนที่เป็นเจ้าของภาษา ทำให้ลูกได้คุ้นเคยกับสำเนียงที่หลากหลาย แต่ก็ต้องดูควบคู่ไปกับความสนใจของลูกเป็นหลักด้วยครับ
บทสรุปจากประสบการณ์
สุดท้ายแล้ว ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวครับว่าสถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่ไหนดีที่สุด มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งตัวเด็กเอง ความชอบ ความถนัด และความสะดวกของครอบครัวด้วยครับ สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ศึกษาข้อมูล ลองพูดคุยกับลูก สังเกตลูกเยอะๆ แล้วจะเจอที่ที่ใช่สำหรับครอบครัวเราแน่นอนครับ
ผมว่าการที่ลูกได้ลองเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรงก็เป็นข้อดีนะครับ อย่างที่เคยดูข้อมูลของ 51Talk ที่เค้าเน้นเรื่องครูที่เป็น Native Speaker ก็ถือว่าเป็นจุดแข็งที่น่าสนใจ หรือถ้าใครสะดวกเดินทาง ก็อาจจะเลือกสถาบันที่มีครูต่างชาติประจำอยู่ก็ได้ครับ ลองชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียดู
หวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆ ที่กำลังมองหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษให้ลูกอยู่นะครับ สู้ๆ ครับ!